Alone
วันนี้ผมรู้สึกเบื่อทั้งวัน
เมื่อถึงเวรที่นายอ้วนจะต้องเอาเมินโหยวผิงไปดูแล
ผมมักจะรู้สึกเช่นนี้เสมอ เพราะผมจะต้องไม่เจอเขาเป็นอาทิตย์ เมินโหยวผิงไม่ใช่คนพูดเก่ง
(แต่ผมว่าเขาไม่พูดเลยมากกว่า) เขาจะอยู่เงียบๆแต่ตัวติดกับผมตลอดเวลา
ช่วงแรกๆผมยังเคยรำคาญเขาอยู่บ้าง
เพราะเหมือนนอกจากฝีไม้ลายมือในการลงกรวยของเขาแล้ว
หมอนี่แม่งมีสกิลการใช้ชีวิตติดลบ เทียบเป็น0มันยังมากเกินไป
ซ้ำยังมนุษย์สัมพันธ์แย่มาก
พลันถอนหายใจออกมาอีกเฮือก
เดินไปเอาบุหรี่กับไฟแช็กเดินไปสูบที่หน้าร้าน
ขณะนี่ที่หังโจวกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว
ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งตีควันบุหรี่ที่ผมพ่นออกไปเมื่อครู่ย้อนกลับมาใส่หน้า
ถึงกับต้องหยี่ตาปัดไม้ปัดมือไล่ควันออกไป บรรยากาศที่เงียบเชียบเพราะวันนี้หวังเหมิงก็ไม่อยู่
เลยกลายเป็นว่าผมอยู่คนเดียวไป ความคิดแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง
ความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยเรียน
ความรู้สึกเงียบๆ เย็นๆ
นี่ผมเหงาหรือ
ผมคิดว่าตนเองฟุ้งซ่าน
จึงหาอะไรทำด้วยการเปิดคอมพิวเตอร์ติดต่อเพื่อนฝูงสมัยเรียนที่แยกย้ายกันหลังจากเรียนจบ
เปิดโซเชียลสื่อสารกับเพื่อนก็ได้รับคำสรรเสริญมาเต็มๆประมาณว่า
ผมหายไปจนคิดว่าผมไปเกิดใหม่
ผมยิ้มเก้อๆอยู่หน้าคอมพลางคิดไปถึงวันที่อยู่กับเพื่อนฝูง
พวดเราใช้เวลาร่วมกันมามากจริงๆ
หลังจากนั้นผมก็เบื่ออีก
เข้าใจว่าการติดต่อสื่อสารนั้นทำได้เพียงบางเวลา บางครั้งคราว ทุกคนมีหน้าที่
การงาน ไม่มีมานั่งจมอยู่กับโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ทั้งวัน
แล้วเมินโหยวผิงล่ะ
การที่เขาทิ้งอดีตที่แม้แต่ยังไม่ได้ตามหาอะไรเลยนั้นมันดีแล้วหรือ
ผมเคยเก็บของไว้สิ่งหนึ่ง
เมื่อเวลาผ่านไปผมรู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหนแต่ผมไปเอามันไม่ได้ ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเขา
แต่ของเมินโหยวผิงอาจจะเป็นอะไรที่มีค่ามากกว่านั้น
เขาย้อนเดินทางไปได้ เขารู้ว่าเขาเป็นคนทำสิ่งนี้
แต่เขากลับจำช่วงเวลาที่เขาได้อยู่หรือทำไม่ได้
ความรู้สึกเช่นนั้นจะทรมานคุณให้ติดอยู่ในห้วงแห่งความคิด
แต่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
อย่างไรก็ตาม
ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินทางไปไหนอีกทั้งนั้น เขาหายไปนานมากพอแล้ว
อย่างน้อยก็นานสำหรับผม
หลังจากนั้นเหมือนเวลาจะผ่านไปพักใหญ่
ผมคิดว่าตัวเองหลับไป
ม่านสีขาวปรากฎขึ้นตรงหน้า
ค่อนข้างสลัว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงชัดขึ้น แล้วผมก็พบว่าสิ่งที่มีปัญหาไม่ใช่สถานที่
แต่เป็นตาของผมเอง
ผมอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวสะอาด
มองไปรอบตัวแทบไม่เห็นอะไรนอกจากสีขาวเลยสักอย่าง แม้แต่แสงอาทิตย์ก็เข้ามาไม่ถึง
ผมก้มมองดูชุดที่ตัวเองสวมใส่
รองเท้าบูทที่หลวมข้างหนึ่งและค่อนข้างคับแน่นอีกข้างหนึ่ง ถุงมือคนละสี
นี่มัน....ฉางไป๋ซาน!
ผมพลันเงยหน้าขึ้นทันที
เห็นแผ่นหลังคุ้ยเคยที่ค่อยๆเดินห่างออกไป
ผมรู้ว่านั่นคือเมินโหยวผิง
เขากำลังจะไป เขากำลังจะจากผมไปอีกแล้วหรือ ผมเรียกเขา หมอกควันขุ่นมัวเริ่มมีมากขึ้นทุกทีทัศนีย์ภาพรอบด้านต่ำลงทุกที
แผ่นหลังเขาค่อยๆห่างออกไป เขาไม่ได้ยินเสียงของผม เดี๋ยวก่อน...
เมินโหยวผิง...
“เมินโหยวผิง!!”
ผมลืมตา
ลุกพรวดขึ้นมาตะโกนลั่นห้อง
เสียงหอบหายใจของตนเองกับเหงื่อที่ไหลลงมานั้นตอกย้ำผมได้ดี เมื่อครู่ผมแค่ฝันไปเท่านั้นเอง
ปาดมือบนหน้าผากเช็ดเหงื่อออกลวกๆก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ
สิ่งที่เป็นแค่ความฝันคือเขาจากผมไปอีกครั้ง
แต่เหตุการณ์ในฝันมันเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ และความจริงตอนนี้คือเขาอยู่กับพวกเรา
เขาไม่ได้จากไปไหน
และผมจะไม่ยอมให้เขาไป
เมื่อล้างหน้าล้างตาแล้วยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
สายตาพลันมองเห็นที่ต้นขวากับแถวๆหัวไหล่ ....มีรอยแดง ผมขมวดคิ้ว สติกระเจิงทันที
ไล่สายตาไปทั่วร่างกายท่อนบนของตัวเองในกระจก
กดมือที่รอยนั่นจนมั่นใจแล้วว่ามันคือรอยดูด
ใครมันจะมาทำแบบนี้กับผมได้
นอกจากเมินโหยวผิง!!!
เดี๋ยวก่อน
ตอนเย็นผมแม่งจำได้ว่าตัวเองนั่งๆนอนๆอยู่หน้าร้านไม่ใช่หรือ
ทำไมอยู่ๆถึงมาโผล่ในห้องได้ เหตุการณ์ประหลาดและมีปัญหาแบบนี้ผมก็คิดไปอย่างเดียวนั่นแหละ
นายอ้วนกับไอ้หมอนั่นแม่งแกล้งผมกันล่ะสิ
ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อารมณ์เหงาหงอยหายวับไปกับตาทันทีที่รู้ว่าตนเองนั้นน่าจะโดนจับตามองอยู่
ผมเคยบอกว่าเมินโหยวผิงนิ่งๆมึนๆใช่มั้ย ใช่ แต่บอกไม่หมดไง
ไอ้กิเลนหัวดำนั่นอย่าให้เขาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเชียว พวกเจ้าชู้หัวงูยังต้องคิดซ้าย
เรื่องจูบๆหอมๆ ถึงเนื้อถึงตัวนี่ช่ำชองอย่างกับอะไร
จนผ่านมาสองวันหลังจากวันนั้น
ผมทำตัวเฉยชามาก และก็รู้ว่าตัวเองคิดถูกก็ตอนที่นายอ้วนโทรเข้ามาหาสองสามสาย
เดิมทีผมไม่ยอมรับโทรศัพท์เขา
คิดได้ว่าอย่างนายอ้วนถ้าไม่รับได้ตามมาด่าผมถึงหังโจวแน่
ผมตัดใจรับโทรศัพท์
เมื่อนายอ้วนได้ยินเสียงผมก็ขอโทษขอโพย ผมด่าเขาไปทีหนึ่งก่อนจะบังคับให้เขาเล่าให้หมด
สรุปคือคนที่วางแผนไม่ใช่เขา แต่เป็นเมินโหยวผิง! คิดผิดเสียที่ไหน
ไอ้หมอนั่นตั้งใจทำให้ผมเป็นอย่างนี้ อยากเห็นผมมีอารมณ์คิดถึงเขา
พอไม่มีเขาแล้วผมจะเป็นอย่างไร ผมถามนายอ้วนย้ำไปอีกรอบว่าเขาพูดแบบนี้จริงหรือ
เขาก็ตอบหนักแน่นมากว่าจริง
สุดท้ายก่อนวางสาย
ผมก็ด่าเขาไปอีกว่าทำไมปล่อยให้เขาทำอะไรเช่นนี้ได้
ไอ้สิบปีนั่นมันไม่มีความหมายหรือยังไง ผมถามเขาอีกว่าตอนนี้เมินโหยวผิงอยู่ไหน
แต่นายอ้วนบอกว่าเขาไม่ได้ไปตั้งแต่แรก เขาอยู่ใกล้ๆผมนี่แหละ
ผมหงุดหงิดงุ่นง่าน
พลางนึกแผนแก้เผ็ดเขาคืนบ้าง
อยากได้นักไม่ใช่หรือ ไอ้พวกอารมณ์กุ๊กกิ๊กแบบรักแรกรุ่นน่ะ
ผมหนีบเอกสารที่อ่านค้างไว้กับเอว
ยกมือถือต่อสายหาใครบางคนที่รอผมติดต่อกลับไปอยู่
“นายแว่นดำ ช่วยอะไรฉันอย่างนึงได้ไหม”
ตกเย็น
ผมบอกให้หวังเหมิงกลับก่อนเวลาไปก่อนชั่วโมงนึง
เขาทำหน้าตาไม่เชื่อก่อนที่ผมจะด่าไปว่าถ้ายังไม่ไปเขาจะได้นอนที่ร้านแทน
ลูกจ้างที่ดีของผมก็คว้ากระเป๋าสะพายแล้วเผ่นแนบไปทันที
“คุณมีอะไรให้ผมทำหรือ นายน้อย”
ผมหันไปมองต้นเสียง
ราวกับว่าเขารออยู่ที่นี่นานแล้วโผล่าเข้ามาตอนหวังเหมิงออกไปได้พอดิบพอดี
“นายมานานแล้วหรือ”
ผมพิงหลังกับโต๊ะทำงาน กำลังจะเริ่มบอกสิ่งที่ผมอยากให้เขาทำ
“ฉันอยากให้นาย
เชี่ย!....อะ”
“คุณอยู่เฉยๆ
ไม่ต้องทำอะไรหรอก”
เฮยเสียจื่อพุ่งเข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็วพร้อมกับวาดมือกอดรอบเอวผมอย่างถือวิสาสะ
ผมที่อ้าปากค้างไว้กำลังจะพูด ได้ยินเสียงพูดเบาๆอยู่ข้างหู “ผมว่าตอนนี้พ่อกิเลนของคุณเขาปล่อยให้ผมถึงเนื้อถึงตัวคุณมากไปละ...อึ่ก!”
โครม!
เอวของผมถูกบางอย่างคว้าออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่นายแว่นดำจะถูกถีบออกไปจนตัวเขาไปกระแทกกระเก้าอี้จนมันล้มโครมลงมา
พลันตัวถูกจับให้หันกลับไปรับจูบดิบเถื่อนที่แทบจะกระแทกลงมาที่ปาก แรงสวมกอดที่เอวแน่นขึ้น
เขาสอดลิ้นพรวดเข้ามาในปากผม กวาดมันไปทั่วโพรงปากก่อนจะดูดแรงๆทีหนึ่งและผละออกไป
ใบหน้าที่ซุกเข้ากับซอกคอ ลมหายใจอุ่นๆที่คุ้นเคย... เมินโหยวผิง!
“หนังสดเลยนะเนี่ย
ฮะ ฮะ” ผมสะดุ้ง รีบผลักเขาออกทันที เชี่ย!! ไอ้หมอนี่แม่งจูบผมต่อหน้าเฮยเสียจื่อ
“นายน้อย
ผมเล่นดีใช่มั้ยล่ะ อย่าลืมที่คุณตกลงไว้กับผมล่ะ” ผมอ้าปากค้างกำลังจะด่าเขา
พลันหมอนั่นก็เดินหายออกไปอย่างรวดเร็วพอพอกับตอนที่เขามา
ผมหันมามองเมินโหยวผิงที่หน้านิ่งยิ่งกว่าใบหน้าเขาตอนปกติเสียอีก
วินาศสันตะโรแล้วไหม
“...”
................................................
“อึ๊...อ๊า....ฉัน....จะไม่ไหวแล้ว...”
ผมบอกเมินโหยวผิงเสียงสั่นพร่า เขากระแทกช่วงล่างรัวเข้ามาจนผมเสร็จไปก่อนเขา
ผมครางลั่นห้องไม่กลัวที่ใครจะได้ยินมันอีกแล้ว
ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาปลดปล่อยมันเข้าไปด้านในทุกหยาดหยด
เมินโหยวผิงถอดกายออกไป
เขารั้งเอวผมเข้าไปกอดก่อนจะถามผมเสียงเนิบนาบว่าผมไปคุยอะไรกับนายแว่น
ผมบอกเขาว่าเปล่า จริงๆผมแค่อยากแก้เผ็ดเขาที่มาแกล้งผมก่อน
แต่ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรนายนั่นก็ดันเล่นสดเสี่ยนี่
แถมยังทิ้งระเบิดลูกโตไว้ให้ผมอีก ไม่งั้นเราสองคนคงไม่อยู่ในสภาพนี้....
“ถ้านายยังไม่เลิกลูบรอยสักฉันคืนนี้นายจะไม่ได้นอนนะ
อู๋เสีย”
เขาจับมือผมออก
ก้มหน้าแนบริมฝีปากลงมาอีก
แต่คืนนั้นผมไม่ได้นอนจริงๆนั่นแหละ....
------------------------------------------------------------
ง่า
ง่า ง่า.........................
//ซับเลือดตัวเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น