9 กันยายน 2558

[OS] #dmbjdaily 30 days left : Alone (ผิงเสีย)

Alone


วันนี้ผมรู้สึกเบื่อทั้งวัน

เมื่อถึงเวรที่นายอ้วนจะต้องเอาเมินโหยวผิงไปดูแล ผมมักจะรู้สึกเช่นนี้เสมอ เพราะผมจะต้องไม่เจอเขาเป็นอาทิตย์ เมินโหยวผิงไม่ใช่คนพูดเก่ง (แต่ผมว่าเขาไม่พูดเลยมากกว่า) เขาจะอยู่เงียบๆแต่ตัวติดกับผมตลอดเวลา

ช่วงแรกๆผมยังเคยรำคาญเขาอยู่บ้าง เพราะเหมือนนอกจากฝีไม้ลายมือในการลงกรวยของเขาแล้ว หมอนี่แม่งมีสกิลการใช้ชีวิตติดลบ เทียบเป็น0มันยังมากเกินไป ซ้ำยังมนุษย์สัมพันธ์แย่มาก

พลันถอนหายใจออกมาอีกเฮือก เดินไปเอาบุหรี่กับไฟแช็กเดินไปสูบที่หน้าร้าน

ขณะนี่ที่หังโจวกำลังเข้าสู่ฤดูหนาว ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่งตีควันบุหรี่ที่ผมพ่นออกไปเมื่อครู่ย้อนกลับมาใส่หน้า ถึงกับต้องหยี่ตาปัดไม้ปัดมือไล่ควันออกไป บรรยากาศที่เงียบเชียบเพราะวันนี้หวังเหมิงก็ไม่อยู่ เลยกลายเป็นว่าผมอยู่คนเดียวไป ความคิดแปลกประหลาดที่ก่อตัวขึ้นมาจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง

ความรู้สึกที่ไม่ได้เป็นมานานแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยเรียน ความรู้สึกเงียบๆ เย็นๆ

นี่ผมเหงาหรือ

ผมคิดว่าตนเองฟุ้งซ่าน จึงหาอะไรทำด้วยการเปิดคอมพิวเตอร์ติดต่อเพื่อนฝูงสมัยเรียนที่แยกย้ายกันหลังจากเรียนจบ เปิดโซเชียลสื่อสารกับเพื่อนก็ได้รับคำสรรเสริญมาเต็มๆประมาณว่า ผมหายไปจนคิดว่าผมไปเกิดใหม่ ผมยิ้มเก้อๆอยู่หน้าคอมพลางคิดไปถึงวันที่อยู่กับเพื่อนฝูง พวดเราใช้เวลาร่วมกันมามากจริงๆ

หลังจากนั้นผมก็เบื่ออีก เข้าใจว่าการติดต่อสื่อสารนั้นทำได้เพียงบางเวลา บางครั้งคราว ทุกคนมีหน้าที่ การงาน ไม่มีมานั่งจมอยู่กับโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ทั้งวัน

แล้วเมินโหยวผิงล่ะ การที่เขาทิ้งอดีตที่แม้แต่ยังไม่ได้ตามหาอะไรเลยนั้นมันดีแล้วหรือ ผมเคยเก็บของไว้สิ่งหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปผมรู้ว่าของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหนแต่ผมไปเอามันไม่ได้ ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเขา

แต่ของเมินโหยวผิงอาจจะเป็นอะไรที่มีค่ามากกว่านั้น เขาย้อนเดินทางไปได้ เขารู้ว่าเขาเป็นคนทำสิ่งนี้ แต่เขากลับจำช่วงเวลาที่เขาได้อยู่หรือทำไม่ได้ 

ความรู้สึกเช่นนั้นจะทรมานคุณให้ติดอยู่ในห้วงแห่งความคิด แต่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้

อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ผมก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาเดินทางไปไหนอีกทั้งนั้น เขาหายไปนานมากพอแล้ว
อย่างน้อยก็นานสำหรับผม

หลังจากนั้นเหมือนเวลาจะผ่านไปพักใหญ่ ผมคิดว่าตัวเองหลับไป

ม่านสีขาวปรากฎขึ้นตรงหน้า ค่อนข้างสลัว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงชัดขึ้น แล้วผมก็พบว่าสิ่งที่มีปัญหาไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นตาของผมเอง

ผมอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาวสะอาด มองไปรอบตัวแทบไม่เห็นอะไรนอกจากสีขาวเลยสักอย่าง แม้แต่แสงอาทิตย์ก็เข้ามาไม่ถึง ผมก้มมองดูชุดที่ตัวเองสวมใส่ รองเท้าบูทที่หลวมข้างหนึ่งและค่อนข้างคับแน่นอีกข้างหนึ่ง ถุงมือคนละสี นี่มัน....ฉางไป๋ซาน!

ผมพลันเงยหน้าขึ้นทันที เห็นแผ่นหลังคุ้ยเคยที่ค่อยๆเดินห่างออกไป 

ผมรู้ว่านั่นคือเมินโหยวผิง เขากำลังจะไป เขากำลังจะจากผมไปอีกแล้วหรือ ผมเรียกเขา หมอกควันขุ่นมัวเริ่มมีมากขึ้นทุกทีทัศนีย์ภาพรอบด้านต่ำลงทุกที แผ่นหลังเขาค่อยๆห่างออกไป เขาไม่ได้ยินเสียงของผม เดี๋ยวก่อน...

เมินโหยวผิง...

“เมินโหยวผิง!!

ผมลืมตา ลุกพรวดขึ้นมาตะโกนลั่นห้อง เสียงหอบหายใจของตนเองกับเหงื่อที่ไหลลงมานั้นตอกย้ำผมได้ดี เมื่อครู่ผมแค่ฝันไปเท่านั้นเอง ปาดมือบนหน้าผากเช็ดเหงื่อออกลวกๆก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ

สิ่งที่เป็นแค่ความฝันคือเขาจากผมไปอีกครั้ง แต่เหตุการณ์ในฝันมันเกิดขึ้นมาแล้วจริงๆ และความจริงตอนนี้คือเขาอยู่กับพวกเรา เขาไม่ได้จากไปไหน

และผมจะไม่ยอมให้เขาไป

เมื่อล้างหน้าล้างตาแล้วยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย สายตาพลันมองเห็นที่ต้นขวากับแถวๆหัวไหล่ ....มีรอยแดง ผมขมวดคิ้ว สติกระเจิงทันที ไล่สายตาไปทั่วร่างกายท่อนบนของตัวเองในกระจก กดมือที่รอยนั่นจนมั่นใจแล้วว่ามันคือรอยดูด

ใครมันจะมาทำแบบนี้กับผมได้

นอกจากเมินโหยวผิง!!!

เดี๋ยวก่อน
ตอนเย็นผมแม่งจำได้ว่าตัวเองนั่งๆนอนๆอยู่หน้าร้านไม่ใช่หรือ ทำไมอยู่ๆถึงมาโผล่ในห้องได้ เหตุการณ์ประหลาดและมีปัญหาแบบนี้ผมก็คิดไปอย่างเดียวนั่นแหละ

นายอ้วนกับไอ้หมอนั่นแม่งแกล้งผมกันล่ะสิ

ผมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน อารมณ์เหงาหงอยหายวับไปกับตาทันทีที่รู้ว่าตนเองนั้นน่าจะโดนจับตามองอยู่ ผมเคยบอกว่าเมินโหยวผิงนิ่งๆมึนๆใช่มั้ย ใช่ แต่บอกไม่หมดไง ไอ้กิเลนหัวดำนั่นอย่าให้เขาเจ้าเล่ห์ขึ้นมาเชียว พวกเจ้าชู้หัวงูยังต้องคิดซ้าย เรื่องจูบๆหอมๆ ถึงเนื้อถึงตัวนี่ช่ำชองอย่างกับอะไร

จนผ่านมาสองวันหลังจากวันนั้น ผมทำตัวเฉยชามาก และก็รู้ว่าตัวเองคิดถูกก็ตอนที่นายอ้วนโทรเข้ามาหาสองสามสาย เดิมทีผมไม่ยอมรับโทรศัพท์เขา คิดได้ว่าอย่างนายอ้วนถ้าไม่รับได้ตามมาด่าผมถึงหังโจวแน่
         
ผมตัดใจรับโทรศัพท์ เมื่อนายอ้วนได้ยินเสียงผมก็ขอโทษขอโพย ผมด่าเขาไปทีหนึ่งก่อนจะบังคับให้เขาเล่าให้หมด สรุปคือคนที่วางแผนไม่ใช่เขา แต่เป็นเมินโหยวผิง! คิดผิดเสียที่ไหน ไอ้หมอนั่นตั้งใจทำให้ผมเป็นอย่างนี้ อยากเห็นผมมีอารมณ์คิดถึงเขา พอไม่มีเขาแล้วผมจะเป็นอย่างไร ผมถามนายอ้วนย้ำไปอีกรอบว่าเขาพูดแบบนี้จริงหรือ เขาก็ตอบหนักแน่นมากว่าจริง

สุดท้ายก่อนวางสาย ผมก็ด่าเขาไปอีกว่าทำไมปล่อยให้เขาทำอะไรเช่นนี้ได้ ไอ้สิบปีนั่นมันไม่มีความหมายหรือยังไง ผมถามเขาอีกว่าตอนนี้เมินโหยวผิงอยู่ไหน แต่นายอ้วนบอกว่าเขาไม่ได้ไปตั้งแต่แรก เขาอยู่ใกล้ๆผมนี่แหละ  

ผมหงุดหงิดงุ่นง่าน  พลางนึกแผนแก้เผ็ดเขาคืนบ้าง อยากได้นักไม่ใช่หรือ ไอ้พวกอารมณ์กุ๊กกิ๊กแบบรักแรกรุ่นน่ะ ผมหนีบเอกสารที่อ่านค้างไว้กับเอว ยกมือถือต่อสายหาใครบางคนที่รอผมติดต่อกลับไปอยู่

“นายแว่นดำ ช่วยอะไรฉันอย่างนึงได้ไหม”

ตกเย็น ผมบอกให้หวังเหมิงกลับก่อนเวลาไปก่อนชั่วโมงนึง เขาทำหน้าตาไม่เชื่อก่อนที่ผมจะด่าไปว่าถ้ายังไม่ไปเขาจะได้นอนที่ร้านแทน ลูกจ้างที่ดีของผมก็คว้ากระเป๋าสะพายแล้วเผ่นแนบไปทันที

“คุณมีอะไรให้ผมทำหรือ นายน้อย”
ผมหันไปมองต้นเสียง ราวกับว่าเขารออยู่ที่นี่นานแล้วโผล่าเข้ามาตอนหวังเหมิงออกไปได้พอดิบพอดี

“นายมานานแล้วหรือ” ผมพิงหลังกับโต๊ะทำงาน กำลังจะเริ่มบอกสิ่งที่ผมอยากให้เขาทำ
         
“ฉันอยากให้นาย เชี่ย!....อะ”

“คุณอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก” เฮยเสียจื่อพุ่งเข้ามาประชิดตัวผมอย่างรวดเร็วพร้อมกับวาดมือกอดรอบเอวผมอย่างถือวิสาสะ ผมที่อ้าปากค้างไว้กำลังจะพูด ได้ยินเสียงพูดเบาๆอยู่ข้างหู “ผมว่าตอนนี้พ่อกิเลนของคุณเขาปล่อยให้ผมถึงเนื้อถึงตัวคุณมากไปละ...อึ่ก!

โครม!

เอวของผมถูกบางอย่างคว้าออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่นายแว่นดำจะถูกถีบออกไปจนตัวเขาไปกระแทกกระเก้าอี้จนมันล้มโครมลงมา พลันตัวถูกจับให้หันกลับไปรับจูบดิบเถื่อนที่แทบจะกระแทกลงมาที่ปาก แรงสวมกอดที่เอวแน่นขึ้น เขาสอดลิ้นพรวดเข้ามาในปากผม กวาดมันไปทั่วโพรงปากก่อนจะดูดแรงๆทีหนึ่งและผละออกไป ใบหน้าที่ซุกเข้ากับซอกคอ ลมหายใจอุ่นๆที่คุ้นเคย... เมินโหยวผิง!

“หนังสดเลยนะเนี่ย ฮะ ฮะ” ผมสะดุ้ง รีบผลักเขาออกทันที เชี่ย!! ไอ้หมอนี่แม่งจูบผมต่อหน้าเฮยเสียจื่อ

“นายน้อย ผมเล่นดีใช่มั้ยล่ะ อย่าลืมที่คุณตกลงไว้กับผมล่ะ” ผมอ้าปากค้างกำลังจะด่าเขา พลันหมอนั่นก็เดินหายออกไปอย่างรวดเร็วพอพอกับตอนที่เขามา


ผมหันมามองเมินโหยวผิงที่หน้านิ่งยิ่งกว่าใบหน้าเขาตอนปกติเสียอีก

วินาศสันตะโรแล้วไหม

“...”

................................................

“อึ๊...อ๊า....ฉัน....จะไม่ไหวแล้ว...” ผมบอกเมินโหยวผิงเสียงสั่นพร่า เขากระแทกช่วงล่างรัวเข้ามาจนผมเสร็จไปก่อนเขา ผมครางลั่นห้องไม่กลัวที่ใครจะได้ยินมันอีกแล้ว ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาปลดปล่อยมันเข้าไปด้านในทุกหยาดหยด

เมินโหยวผิงถอดกายออกไป เขารั้งเอวผมเข้าไปกอดก่อนจะถามผมเสียงเนิบนาบว่าผมไปคุยอะไรกับนายแว่น ผมบอกเขาว่าเปล่า จริงๆผมแค่อยากแก้เผ็ดเขาที่มาแกล้งผมก่อน แต่ยังไม่ทันจะได้คุยอะไรนายนั่นก็ดันเล่นสดเสี่ยนี่ แถมยังทิ้งระเบิดลูกโตไว้ให้ผมอีก ไม่งั้นเราสองคนคงไม่อยู่ในสภาพนี้....

“ถ้านายยังไม่เลิกลูบรอยสักฉันคืนนี้นายจะไม่ได้นอนนะ อู๋เสีย”

เขาจับมือผมออก ก้มหน้าแนบริมฝีปากลงมาอีก

แต่คืนนั้นผมไม่ได้นอนจริงๆนั่นแหละ....

------------------------------------------------------------

ง่า ง่า ง่า.........................  //ซับเลือดตัวเอง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น